วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

การปฏิวัติอุตสาหกรรม



              การปฏิวัติอุตสาหกรรม (อังกฤษ: Industrial Revolution) คือช่วงเวลาตั้งแต่ ค.ศ. 1750 ถึง ค.ศ. 1850 เมื่อการเปลี่ยนแปลงในภาคเกษตรกรรม, การผลิต, การทำเหมืองแร่, การคมนาคมขนส่ง และเทคโนโลยี ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสภาพสังคม, เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมในขณะนั้น การปฏิวัติเริ่มต้นในสหราชอาณาจักร จากนั้นจึงแพร่ขยายไปยังยุโรปตะวันตก, อเมริกาเหนือ, ญี่ปุ่น จนขยายไปทั่วทั้งโลกในเวลาต่อมา

              การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์โลก ซึ่งส่งผลกระทบในเกือบทุกแง่มุมของชีวิตประจำวันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือการที่รายได้และจำนวนประชากรโดยเฉลี่ยเริ่มที่จะขยายตัวอย่างยั่งยืนในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้สองร้อยปีหลังจาก ค.ศ. 1800 ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อหัวของโลกขยายตัวมากกว่าสิบเท่า ในขณะที่จำนวนประชากรขยายตัวมากกว่าหกเท่า
[1]จากคำกล่าวของผู้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ โรเบิร์ต อี. ลูคัส จูเนียร์ "เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มาตรฐานการดำรงชีวิตของประชาชนธรรมดาส่วนมากจะเริ่มเติบโตอย่างมั่นคง ... ซึ่งไม่เคยมีพฤติการณ์ทางเศรษฐกิจเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน"

              สหราชอาณาจักรได้วางรากฐานทางกฎหมายและวัฒนธรรมซึ่งเปิดโอกาสให้นายทุนสามารถริเริ่มการปฏิวัติอุตสาหกรรม ตัวแปรหลักที่ก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยนี้ได้แก่
               -  ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขและมั่นคงจากการรวมกันของราชอาณาจักรอังกฤษและราชอาณาจักรสกอตแลนด์
               -  ไม่มีข้อกีดกันทางการค้าระหว่างอังกฤษและสกอตแลนด์
               -  หลักนิติรัฐ (เคารพความศักดิ์สิทธิ์ของสัญญาการค้า)
               -  ความเถรตรงของระบบกฎหมายซึ่งเปิดโอกาสให้มีการจัดตั้งบรรษัทมหาชน
               -  แนวคิดการค้าเสรี (เศรษฐกิจทุนนิยม)


               กระบวนการเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 18 ด้วยการเปลี่ยนผ่านซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนจากเศรษฐกิจแบบพึ่งพาแรงงานคนและสัตว์เป็นหลักไปเป็นเศรษฐกิจแบบพึ่งพาเครื่องจักรเป็นหลักของสหราชอาณาจักร โดยเริ่มในอุตสาหกรรมสิ่งทอเป็นอุตสาหกรรมแรก อันเป็นผลมาจากการพัฒนากรรมวิธีการหลอมเหล็กและความนิยมในการใช้ถ่านหินโค้กที่แพร่หลายขึ้น  การขยายตัวของการค้าขายเป็นผลมาจากการพัฒนาคลอง, ถนน และทางรถไฟ ด้วยการเปลี่ยนแปลงจากเศรษฐกิจแบบพึ่งพาเกษตรกรรมไปเป็นเศรษฐกิจแบบพึ่งพาอุตสาหกรรมการผลิต ทำให้เกิดการไหลบ่าของประชากรจากชนบทเข้าสู่เมืองขนานใหญ่ และก่อให้เกิดการขยายตัวของจำนวนประชากร

               การเปลี่ยนแปลงการผลิตครั้งสำคัญในการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือการผลิตชิ้นส่วนซึ่งสามารถสับเปลี่ยนกันได้ เครื่องกลึงและเครื่องกลอื่นๆ ในการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้การผลิตสินค้ามีความละเอียดแม่นยำสูงและสามารถผลิตซ้ำเช่นเดิมได้เป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น การผลิตปืนซึ่งในอดีตผลิตได้ทีละกระบอกด้วยการนำชิ้นส่วนเข้าประกอบกันอย่างพอดีจนได้ออกมาเป็นหนึ่งกระบอก หากแต่ชิ้นส่วนในการประกอบปืนครั้งนั้นไม่สามารถใช้แทนกันกับชิ้นส่วนจากปืนกระบอกอื่นได้ ด้วยความละเอียดแม่นยำในการผลิตซ้ำจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมนี้เอง ทำให้ชิ้นส่วนต่างๆ ของปืนสามารถแลกเปลี่ยนทดแทนกันได้ และยังก่อให้เกิดการผลิตแบบจำนวนมากๆ จนส่งผลให้ราคาสินค้าจากการผลิตแบบนี้ลดลงไปอย่างมาก

               การกำเนิดขึ้นของ
เครื่องจักรไอน้ำซึ่งใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลัก, ความนิยมในอรรถประโยชน์ของกังหันน้ำ และเครื่องจักรที่ใช้พลังงานขับเคลื่อน (โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสิ่งทอ) เป็นตัวสนับสนุนให้กำลังการผลิตขยายตัวอย่างมาก    การพัฒนาเครื่องมือโลหะในช่วงสองทศวรรษแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 19 อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการมีเครื่องจักรการผลิตที่มากขึ้นแลบะนำไปใช้ได้กับอุตสาหกรรมอื่นๆ ผลกระทบเกิดขึ้นแพร่ขยายออกไปทั่วยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนือในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนในที่สุดก็ได้แพร่หลายไปทั่วโลก กระบวนการที่ดำเนินไปนี้เรียกว่าการทำให้เป็นอุตสาหกรรม และทำให้เกิดผลกระทบอย่างมโหฬารต่อสังคม

              การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกซึ่งเริ่มในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถูกรวมเข้ากับการปฏิวัติครั้งที่สองในราวปี ค.ศ. 1850 เมื่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีได้รับแรงขับเคลื่อนจากการพัฒนาเรือกลไฟ, ทางรถไฟ และต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ช่วงของเวลาที่ถูกครอบคลุมด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้นหลากหลายและแตกต่างกันออกไปในนักประวัติศาสตร์แต่ละคน อีริก ฮอบส์บอว์ม กล่าวว่ามันเกินขึ้นในสหราชอาณาจักรในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1780 และไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างจริงจังจนกระทั่งทศวรรษที่ 1830 หรือ 1840   ขณะที่ ที. เอส. แอชตัน กล่าวว่ามันเกิดขึ้นอย่างฉาบฉวยระหว่างคริสต์ทศวรรษที่ 1760 และ 1830

              นักประวัติศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 บางคนอย่าง จอห์น คลาแฟม และนิโคลัส คราฟต์ส ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป และเห็นว่าวาทกรรมในเชิงการปฏิวัตินั้นเป็นการเรียกที่ผิดเพี้ยน ซึ่งนี่ยังคงเป็นเรื่องที่ถูกถกเถียงกันในหมู่นักประวัติศาสตร์  ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัวนั้นเคยนิ่งเฉยไม่มีการเปลี่ยนแปลงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมและการกำเนิดขึ้นของเศรษฐกิจทุนนิยมสมัยใหม่   การปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อให้เกิดยุคของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระบบเศรษฐกิจทุนนิยม   นักประวัติศาสตร์เศรษฐศาสตร์เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่าการเริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ตั้งแต่มนุษย์รู้จักการทำเกษตรกรรมและเลี้ยงปศุสัตว์


                                                              



                                                         โรงงานปั่นด้ายในยุคปฏิวัติอุสาหกรรม



                                                              
                              
                                                               เครื่องจักรไอน้ำของเจมส์ วัตต์ ซึ่งเป็นจุดเริ่ม
                                                                ต้นการปฏิวัติอุตสาหกรรม

                                                              
                                    
                                        ภาพ เหล็กและถ่านหิน โดยวิลเลียม เบลล์ สกอตต์, ค.ศ. 1855-60




นิรุกติศาสตร์

              การใช้คำว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งแรกสุดสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นจดหมายของราชทูตฝรั่งเศส หลุยส์-กิโยม อ็อตโต ฉบับวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1799 ประกาศว่าฝรั่งเศสได้เข้าร่วมการแข่งขันในการ อ็องดุซตรีแยลีส (การทำให้เป็นอุตสาหกรรม)
ในหนังสือของเรย์มอนด์ วิลเลียมส์ ในปี ค.ศ. 1976 คำหลัก: คำศัพท์แห่งวัฒนธรรมและสังคม เข้าได้กล่าวในคำนำถึงคำว่าอุตสาหกรรม: "แนวคิดด้านการจัดระเบียบสังคมใหม่โดยยึดหลักการบนการเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมที่สำคัญซึ่งกระจ่างชัดในโรเบิร์ต เซาท์ธีย์ และโรเบิร์ต โอเวน ระหว่างปี ค.ศ. 1811 และ 1818 และเป็นการแน่แท้เร็วเท่ากับวิลเลียม เบลค ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1790 และวิลเลียม เวิร์ดเวิร์ธ ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษใหม่" การใช้คำว่า "การปฏิวัติอุตสาหกรรม" ใช้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีได้กลายมาเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1830 ที่ซึ่งเชร็อง-อะด็อฟเฟอ บล็องกิ ได้ให้นิยามไว้ใน ลาเรวอลูซียงอ็องดุซตรีแยล (La révolution industrielle) ฟรีดริช เอ็นเกลส์กล่าวในหนังสือ สภาพความเป็นอยู่ของชนชั้นแรงงานในอังกฤษ ค.ศ. 1844 (The Condition of the Working Class in England in 1844) ว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือ "การปฏิวัติที่เปลี่ยนแปลงสังคมอารยชนในเวลาเดียวกัน" และอาร์โนลด์ โทยินบี คือผู้ที่ทำให้วาทกรรมนี้โด่งดังจาการเขียนรายละเอียดอรรถาธิบายเพิ่มเติมในปี ค.ศ. 1881


 
ตัวอย่างเดียวของเครื่องปั่นด้าย สปินนิงมูล โดยแซมมูเอล ครอมป์ตัน ที่ยังคงหลงเหลืออยู่
 
 
 
   

นวัตกรรม


               จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมถูกเชื่อมโยงอย่างมากกับนวัตกรรมจำนวนหนึ่ง
[19]ที่ถูกคิดค้นขึ้นในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 18 ดังต่อไปนี้:
สิ่งทอ– การปั่นฝ้ายโดยใช้เครื่องปั่นด้ายพลังน้ำ วอเทอร์เฟรม ของริชาร์ด อาร์คไรต์, เครื่องปั่นด้าย สปินนิงเจนนี ของเจมส์ ฮาร์กรีฟส์ และเครื่องปั่นด้าย สปินนิงมูล ของแซมมูเอล ครอมป์ตัน (สิ่งประดิษฐ์ผสมผสานระหว่างวอเทอร์เฟรมและสปินนิงเจนนี) สิ่งประดิษฐ์นี้ได้รับสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1769 ก่อนจะหลุดจากสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1783 จากจุดนี้เองที่ตามมาด้วยการสร้างโรงงานปั่นฝ้ายมากมาย เทคโนโลยีนี้ยังถูกนำไปประยุกต์กับการปั่นผ้าเนื้อละเอียดและเส้นด้ายในภายหลังเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการทำผ้าลินินและสิ่งทอต่างๆ การปฏิวัติฝ้ายครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นในเมือง
เดอร์บี ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในฉายาว่า "โรงไฟฟ้าแห่งภาคเหนือ"
                 เครื่องจักรไอน้ำ –
เครื่องจักรไอน้ำถูกประดิษฐ์โดยเจมส์ วัตต์ และได้รับสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1775 ซึ่งจุดประสงค์หลักก็เพื่อสร้างพลังงานในการสูบน้ำออกจากเหมือง แต่เมื่อถึงยุค ค.ศ. 1780 เป็นต้นไป มันก็ถูกประยุกต์ใช้กับการสร้างพลังงานให้แก่เครื่องจักรชนิดอื่นๆ ก่อให้เกิดการพัฒนาโรงงานกึ่งอัตโนมัติขึ้นอย่างรวดเร็วในระดับที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้คาดการณ์ไว้มาก่อน โดยเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ที่ผู้คนไม่ต้องพึ่งพาแรงงานมนุษย์, แรงงานสัตว์, จากลมหรือจากน้ำอีกต่อไป เครื่องจักรไอน้ำจึงถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย เช่น ใช้สูบน้ำออกจากเหมือง, ใช้ลากล้อเลื่อนบรรทุกถ่านหินขึ้นมายังผิวโลก, ใช้เป่าลมเข้าสู่เตาหลอมเหล็ก, ใช้บดดินในอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผา และใช้สร้างพลังงานแก่โรงงานทุกประเภท กล่าวได้ว่าเป็นเวลามากกว่าหนึ่งน้อยปีที่เครื่องจักรไอน้ำครองตำแหน่งราชาแห่งบรรดาอุตสาหกรรม
                  การผลิตเหล็กกล้า – ในอุตสาหกรรมผลิตเหล็ก
ถ่านหินถูกประยุกต์เข้ากับทุกขั้นตอนของการหลอมเหล็กแทนที่ถ่านฟืนจากไม้ การนำถ่าหินมาใช้นี้เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมผลิตทองแดงและตะกั่วมาก่อนแล้ว เช่นเดียวกับในอุตสาหกรรมผลิตเหล็กดิบในเตาถลุงทรงสูง แต่ในขั้นที่สองของการผลิตเหล็กดัดต้องพึ่งพานวัตกรรมการขึ้นรูปและการประทับตรา (ซึ่งสิทธิบัตรหมดอายุลงในปี ค.ศ. 1786) และเตาพุดดลิงของเฮนรี คอร์ต (ได้รับสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1784)

                  "ภาคอุตสาหกรรมชั้นนำ" ข้างต้นทั้งสามภาคนี้คือนวัตกรรมหลักที่ก่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดโดยการปฏิวัติอุตสาหกรรมมักจะกล่าวถึงอยู่เสมอ นี้ไม่ได้หมายถึงการดูแคลนนวัตกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกล่าวถึงอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งหากปราศจากนวัตกรรมยุคก่อนหน้าอย่าง สปินนิงเจนนี หรือ ฟลายอิงชัตเทิล หรือการหลอมเหล็กดิบด้วยถ่านฟืน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นครั้งสำคัญนี้ก็อาจจะเป็นไปไม่ได้ ส่วนนวัตกรรมยุคหลังๆ อย่าง หูกทอผ้า หรือ เครื่องจักรไอน้ำแรงดันสูง ของริชาร์ด เทรวิทิค ก็ยังเป็นส่วนสำคัญในการปฏิวัติอุตสาหกรรมในสหราชอาณาจักร การใช้เครื่องจักรไอน้ำให้พัลงงานแก่โรงงานปั่นฝ้ายและโรงงานผลิตเหล็กยังทำให้การตั้งโรงงานสามารถทำในที่ใดก็ได้ตามแต่สะดวก ไม่จำเป็นต้องตั้งใกล้แม่น้ำในการใช้พลังงานจากกังหันน้ำอีกต่อไป

                   นอกจากนี้การค้นพบวิธีการทำ
คอนกรีตอีกครั้งในปี ค.ศ. 1756 (บนพื้นฐานมาจากการทำปูนปลาสเตอร์) โดยวิศวกรชาวอังกฤษนามว่า จอห์น สมีตัน ก็ยังมีส่วนสำคัญในการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งความรู้ดังกล่าวสูญหายไปเป็นเวลากว่า 1,300 ปี 

อ้างอิง

   http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1                                                      





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น