วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

จักรพรรดิฉินที่ 1



               สมเด็จพระจักรพรรดิฉินที่ 1 หรือ ฉินสื่อหวง (จีน: 秦始皇; พินอิน: Qín Shǐhuáng; ในภาษาไทยเรียกชื่อโดยทั่วไปตามภาษาจีนสำเนียงแต้จิ๋วว่า จิ๋นซีฮ่องเต้) มีพระนามเดิมว่า อิ้งเจิ้ง (政) สันนิษฐานว่าประสูติเมื่อเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม 260 ปีก่อนคริสตกาล ที่แคว้นจ้าว และสวรรคตเมื่อเดือนกันยายน 210 ปีก่อนคริสตกาล ทรงเป็นอ๋องแห่งแคว้นฉิน (秦王) ตั้งแต่ 247 ปีก่อนคริสตกาล ถึง 221 ปีก่อนคริสตกาล จากการรวมประเทศในสมัยราชวงศ์นี้ ทำให้กลายมาเป็นคำเรียกว่าจีนในภาษาไทย และ China ในภาษาอังกฤษ (มาจากคำว่า Chin หรือ Qin)

               ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่าพระองค์เป็นบุตรของใครแต่โดยทั่วไปเชื่อว่าเป็นบุตรชายของพ่อค้าคนสำคัญคนหนึ่ง ที่ต่อมาภายหลังได้เป็นอัครมหาเสนาบดีของแคว้นฉิน ชื่อ "
หลี่ปู้เหว่ย" (呂不韋) กับมารดาที่เป็นนางสนมชื่อ "เจ้าจี" (趙姬) แต่โดยทางการแล้ว พระองค์เป็นพระโอรสของฉินอ๋อง จี่ฉู่ และนางเจ้าจี ซึ่งเคยเป็นนางรำในสังกัดของหลี่ปู้เหว่ยมาก่อน พระองค์ขึ้นครองราชย์เป็นอ๋องเมื่อพระชนมายุ 13 พรรษา เมื่อฉินอ๋อง จี่ฉู่ ถึงแก่กรรม แต่ด้วยความที่ยังเยาว์พระชนม์ หลี่ปู้เหว่ยจึงเปรียบเสมือนผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ต่อมาเมื่อพระองค์เจริญวัยขึ้นก็ปลดหลี่ปู้เหว่ยออกจากตำแหน่ง

                                                       Qinshihuang.jpg



              ในขณะที่พระองค์มีพระชนมายุได้ 20 พรรษา พระมารดาของพระองค์มีสัมพันธ์ที่แน่บแน่นกับชายคนหนึ่งที่ปลอมตัวเข้ามาเป็นขันทีในวัง ชื่อ "หลาวอ้าย" (嫪毐) และมีลูกด้วยกันอย่างน้อย 2 คน เมื่อความทราบไปทั่ว หลาวอ้ายถูกจับกุม แต่ทว่าก็เกิดการกบฏขึ้นในวังหลวง โดยพรรคพวกของหลาวอ้าย แต่ทว่าไม่สำเร็จ หลาวอ้ายถูกประหารชีวิต ขณะที่พระมารดาถูกเนรเทศ นับตั้งแต่นั้นพระองค์ตั้งปณิธานไว้ว่าจะต้องรวบรวมแผ่นดินขึ้นมาเป็นปึกแผ่นให้ได้

              ด้วยขณะนั้นอยู่ในช่วงของประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า "
ยุคจ้านกว๋อ" (戰國時代) หรือ "ยุครณรัฐ" ซึ่งเป็นยุคที่ต่อจากยุคชุนชิว (春秋時代) ซึ่งเป็นยุคแห่งการสู้รบกันระหว่างแคว้นต่าง ๆ เพื่อชิงความเป็นใหญ่กว่า 255 ปี โดยที่มีแคว้นขนาดใหญ่ 7 แคว้น คือ ฉู่, ฉี, หาน, เอี้ยน, จ้าว, เว่ย และฉิน

              ในการที่จะรวบรวมแผ่นดินจีนให้เป็นปึกแผ่นได้นั้น พระองค์และเสนาบดีของพระองค์ นาม "
หลี่ซือ" (李斯) ต้องสร้างกองทัพที่มีระเบียบวินัยเข้มงวดและความสามารถในการสู้รบ ซึ่งเลื่องลืออย่างมากโดยเฉพาะการใช้ธนู ยกกองทัพไปตีแคว้นต่าง ๆ และทำการปฏิรูปมากมายหลายด้าน ซึ่งรวมทั้งด้านการเมือง ภาษา วัฒนธรรม และภูมิปัญญาความคิด พระองค์ทรงเผาทำลายหนังสือ และสังหารนักปราชญ์ไปจำนวนมหาศาล เนื่องจากพระองค์ทรงดำริว่าถ้าต่างแคว้นต่างมีวัฒนธรรมความคิดของตนเองแล้ว การที่จะทำให้แผ่นดินเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ และพระองค์ทรงริเริ่มสร้างผลงานที่โลกต้องยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ซึ่งก็คือ กำแพงเมืองจีน ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อป้องกันแผ่นดินจากชนเผ่าทางเหนือ โดยการสร้างครั้งนี้ มีการบันทึกว่ามีประชาชนชาวจีนและเชลยศึกจำนวนมหาศาลต้องสังเวยชีวิตไปในการสร้างกำแพงครั้งนี้ นอกจากนี้ ยังมีสุสานของพระองค์ที่ยิ่งใหญ่ ถูกค้นพบโดยบังเอิญโดยชาวนาในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ที่นับว่าเป็นการขุดค้นพบทางโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่อีกชิ้นหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

             เมื่อทรงรวบรวมแผ่นดินได้แล้ว ทรงสถาปนาพระองค์เองเป็น จักรพรรดิหรือฮ่องเต้ (หวงตี้) องค์แรกของจักรวรรดิจีนตั้งแต่ 221 ปีก่อนคริสตกาล) ถึง 210 ปีก่อนคริสตกาล โดยขนานนามพระองค์เองว่า จักรพรรดิองค์แรก (始皇帝, ชื่อหวงตี้) พระองค์เป็นจักรพรรดิองค์แรกแห่งราชวงศ์ฉิน แม้รัชกาลของพระองค์จะนานเพียง 15 ปี แต่ก็เป็นจุดหักเหสำคัญของประวัติศาสตร์จีน

             ฉินซีฮ่องเต้ยังถูกจดจำอีกว่า พระองค์ต้องการมีชีวิตนิรันดร์ ตลอดพระชนม์ชีพทรงเสาะแสวงหายาที่ทำจะทำให้พระองค์มีพระชนมายุอมตะ ทรงเชื่อพวก
หมอผีหรือนักไสยศาสตร์ที่ปรุงยาถวายเสมอ ๆ จนกระทั่งมีเรื่องเล่าว่า คณะหนึ่งที่พระองค์สั่งให้ไปหายาอายุวัฒนะนั้นได้เดินทางไปสู่ถิ่นที่เป็นประเทศญี่ปุ่นในปัจจุบัน และเป็นบรรพบุรุษของชาวญี่ปุ่น

              และการที่เสวยแต่ยาวิเศษนั้น เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พระองค์ต้องสวรรค์อย่างกะทันหันเมื่อครองราชย์ได้ 29 ปี ในช่วงฤดูร้อนขณะที่ทรงเดินทางอยู่ พระชนมายุได้ 50 พรรษา ซึ่งนักประวัติศาสตร์เชื่อว่า พระองค์ได้เสวยยาที่ส่วนผสมของสารปรอท

              แม้ว่าพระองค์จะทรงถูกชาวโลกจดจำว่าเป็นจักรพรรดิผู้โหดเหี้ยมหรือเป็นทรราชย์องค์หนึ่งของโลก แต่ชาวจีนก็ยังคงยกย่องพระองค์ให้เป็นบิดาผู้รวบรวมประเทศจีนให้เป็นปึกแผ่น ซึ่งเคยแตกกระจายเป็นแว่นแคว้นต่างๆ มานานกว่าสองสหัสวรรษ และการปฏิรูปทั้งหลายของพระองค์ก็ยังคงมีผลกระทบถึงคนปัจจุบัน ซึ่งเรื่องราวในส่วนนี้กลายมาเป็นวัฒนธรรมสมัยนิยมในปัจจุบันต่าง ๆ มากมาย ทั้งนวนิยาย, ละครโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์ เช่น เจาะเวลาหาจิ๋นซี นิยายกำลังภายในแฟนตาซีของหวงอี้ หรือภาพยนตร์เรื่อง The Emperor and The Assassin ใน ค.ศ. 1998 ของเฉิน ข่ายเกอ ที่เป็นเรื่องราวของพระองค์กับนักลอบสังหารที่ชื่อ จิงเคอ จากแคว้นเอี้ยน ที่เล่ากันว่ามีโอกาสเข้าประชิดตัวพระองค์มากที่สุดขณะเข้าเฝ้าและพยายามสังหารด้วยมีดสั้นที่ซ่อนไว้ในแผนที่ แต่ไม่สำเร็จ

อ้างอิง

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%89%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_1





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น