วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

สงครามเกาหลี

        สงครามเกาหลี (25 มิถุนายน 1950 – 27 กรกฎาคม 1953) เป็นสงครามระหว่างสาธารณรัฐเกาหลี(เกาหลีใต้) โดยได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติฝ่ายหนึ่ง กับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) โดยได้รับการสนับสนุนจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นหลัก อีกฝ่ายหนึ่ง สงครามเกาหลีเป็นผลจากเขตทางการเมืองของเกาหลีโดยความตกลงที่ฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะกระทำเมื่อสงครามแปซิฟิกยุติ คาบสมุทรเกาหลีถูกจักรวรรดิญี่ปุ่นปกครองตั้งแต่ปี 1910 กระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด หลังการยอมจำนนของจักรวรรดิญี่ปุ่นในเดือนกันยายน 1945 นักปกครองชาวอเมริกันได้แบ่งคาบสมุทรตามเส้นขนานที่ 38 โดยกองกำลังทหารสหรัฐยึดครองส่วนใต้ และกองกำลังทหารโซเวียตยึดครองส่วนเหนือ
         ความล้มเหลวในการจัดการเลือกตั้งเสรีทั่วคาบสมุทรเกาหลีในปี 1948 ยิ่งตอกลึกการแบ่งแยกระหว่างสองฝ่าย เกาหลีเหนือจึงสถาปนารัฐบาลคอมมิวนิสต์ ขณะที่เกาหลีใต้สถาปนารัฐบาลประชาธิปไตยในนาม เส้นขนานที่ 38 กลายเป็นพรมแดนทางการเมืองเพิ่มขึ้นระหว่างสองรัฐเกาหลี แม้การเจรจาเพื่อรวมประเทศยังคงดำเนินต่อมาหลายเดือนก่อนเกิดสงคราม แต่ความตึงเครียดยิ่งทวีขึ้น เกิดการรบปะทะและการตีโฉบฉวยข้ามพรมแดนเส้นขนานที่ 38 อยู่เนือง ๆ สถานการณ์บานปลายเป็นการสงครามเปิดเผยเมื่อกองกำลังเกาหลีเหนือบุกครองเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1950[ ปีเดียวกัน สหภาพโซเวียตคว่ำบาตรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อเป็นการประท้วงที่รัฐบาลก๊กมินตั๋ง/สาธารณรัฐจีนเป็นผู้แทนของจีน ซึ่งลี้ภัยไปยังเกาะไต้หวันหลังปราชัยสงครามกลางเมืองจีน เมื่อขาดเสียงไม่เห็นพ้องจากสหภาพโซเวียต ซึ่งมีอำนาจยับยั้งข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงฯ สหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นจึงผ่านข้อมติที่อนุญาตให้แทรกแซงทางทหารในเกาหลี
         สหรัฐอเมริกาจัดหาทหารคิดเป็น 88% ของทหารนานาชาติ 341,000 นาย ที่ถูกส่งไปช่วยเหลือกองกำลังเกาหลีใต้ขับการบุกครอง โดยมีรัฐสมาชิกสหประชาชาติอื่นอีก 20 ประเทศเสนอความช่วยเหลือ หลังประสบความสูญเสียอย่างหนักในช่วงสองเดือนแรก ฝ่ายตั้งรับถูกผลักดันกลับไปยังพื้นที่เล็ก ๆ ทางใต้ของคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งมีชื่อว่า วงรอบปูซาน จากนั้น การรุกโต้ตอบอย่างรวดเร็วของสหประชาชาติได้ขับทหารเกาหลีเหนือผ่านเส้นขนานที่ 38 ขึ้นไปเกือบถึงแม่น้ำยาลู เมื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้าสู่สงครามโดยอยู่ฝ่ายเดียวกับเกาหลีเหนือ  การเข้าแทรกแซงของจีนบีบให้กองกำลังเกาหลีใต้และพันธมิตรถอยกลับไปใต้เส้นขนานที่ 38 อีกครั้ง แม้สหภาพโซเวียตจะมิได้ส่งทหารเข้าร่วมในความขัดแย้งโดยตรง แต่ก็ให้ความช่วยเหลือด้านยุทธปัจจัยแก่ทั้งกองทัพเกาหลีเหนือและจีน การสู้รบยุติลงเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 1953 เมื่อมีการลงนามในความตกลงการสงบศึก ความตกลงดังกล่าวฟื้นฟูพรมแดนระหว่างประเทศใกล้กับเส้นขนานที่ 38 และสถาปนาเขตปลอดทหารเกาหลี แนวกันชนที่มีการป้องกันกว้าง 4.0 กิโลเมตร ระหว่างสองชาติเกาหลี อุบัติการณ์ขนาดย่อมยังคงดำเนินต่อมาตราบจนปัจจุบัน
            จากมุมมองวิทยาศาสตร์การทหาร สงครามเกาหลีเป็นการรวมยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สองเข้าด้วยกัน โดยเริ่มต้นจากการสงครามเคลื่อนที่ด้วยการเข้าตีของทหารราบอย่างรวดเร็ว ตามด้วยการตีโฉบฉวยทิ้งระเบิดทางอากาศ แต่กลายเป็นสงครามสนามเพลาะที่อยู่นิ่งเมื่อถึงเดือนกรกฎาคม 1951
            

เบื้องหลัง

การปกครองโดยจักรวรรดิญี่ปุ่น (1910–45)

         หลังราชวงศ์ชิงพ่ายในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (1894–96) จักรวรรดิญี่ปุ่นเข้ายึดครองจักรวรรดิเกาหลี อันเป็นคาบสมุทรซึ่งมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อเขตอิทธิพล อีกทศวรรษให้หลัง หลังจักรวรรดิญี่ปุ่นสามารถพิชิตจักรวรรดิรัสเซียได้ในสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (1904–05) ญี่ปุ่นทำให้เกาหลีเป็นรัฐในอารักขาโดยสนธิสัญญาอึลซาในปี 1905 แล้วจึงผนวกด้วยสนธิสัญญาการผนวกดินแดนญี่ปุ่น-เกาหลีในปี 1910
          นักชาตินิยมและกลุ่มปัญญาชนเกาหลีหลบหนีออกนอกประเทศ และมีบางส่วนก่อตั้งรัฐบาลเกาหลีเฉพาะกาลขึ้นในปี 1919 นำโดย อี ซึงมัน ในเซี่ยงไฮ้ รัฐบาลพลัดถิ่นนี้ได้รับการรับรองจากไม่กี่ประเทศ จากปี 1919 ถึง 1925 และหลังจากนั้น นักคอมมิวนิสต์เกาหลีนำและเป็นตัวการหลักของการสงครามต่อญี่ปุ่นทั้งในและนอกประเทศ
เกาหลีภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิญี่ปุ่น โดยเป็นอาณานิคมที่ถูกปรับให้เป็นอุตสาหกรรม ร่วมกับไต้หวัน และทั้งคู่เป็นส่วนหนึ่งของวงไพบูลย์ร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพา ในปี 1937 ข้าหลวงใหญ่อาณานิคม พลเอก จิโร มินามิ ซึ่งบังคับบัญชาการพยายามผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมประชากร 23.5 ล้านคนของเกาหลี โดยห้ามการใช้และศึกษาภาษา วรรณกรรมและวัฒนธรรมเกาหลี และบังคับให้ใช้และศึกษาภาษา วรรณกรรมและวัฒนธรรมญี่ปุ่นแทน มีการออกนโยบายโซชิ-ไกเม เริ่มตั้งแต่ปี 1939 กำหนดให้ประชาชนใช้ชื่อภาษาญี่ปุ่น ในปี 1938 รัฐบาลอาณานิคมเริ่มการเกณฑ์แรงงาน
          ในประเทศจีน กองทัพปฏิวัติแห่งชาติที่เป็นชาตินิยมและกองทัพปลดปล่อยประชาชนที่เป็นคอมมิวนิสต์ช่วยจัดระเบียบผู้ลี้ภัยที่เป็นผู้รักชาติและนักต่อสู้เพื่อเอกราชชาวเกาหลีต่อทหารญี่ปุ่น ซึ่งยังยึดครองบางส่วนของจีนด้วย ชาวเกาหลีที่นักชาตินิยมหนุนหลัง นำโดย อี พมซก สู้รบในการทัพพม่า (ธันวาคม 1941 – สิงหาคม 1945) ส่วนนักคอมมิวนิสต์ชาวเกาหลี นำโดย คิม อิลซอง ฯลฯ ต่อสู้ทหารญี่ปุ่นในเกาหลีและแมนจูเรีย
    
            ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารญี่ปุ่นใช้อาหาร ปศุสัตว์ และโลหะของเกาหลีเพื่อความพยายามของสงครามของตน กองกำลังญี่ปุ่นในเกาหลีเพิ่มขึ้นจาก 46,000 นาย ในปี 1941 เป็น 300,000 นาย ในปี 1945 เกาหลีของญี่ปุ่นเกณฑ์แรงงานบังคับ 2.6 ล้านคน ซึ่งควบคุมโดยกองกำลังตำรวจชาวเกาหลีที่ให้ความร่วมมือ ประชาชนราว 723,000 นายถูกส่งไปทำงานในจักรวรรดิโพ้นทะเลและในมหานครญี่ปุ่น จนถึงปี 1942 ชายชาวเกาหลีถูกเกณฑ์เข้าสู่กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น จนถึงเดือนมกราคม 1945 ชาวเกาหลีคิดเป็น 32% ของกำลังแรงงานญี่ปุ่น ในเดือนสิงหาคม 1945 เมื่อสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ถล่มฮิโระชิมะและนะงะซะกิ ราว 25% ของผู้เสียชีวิตเป็นชาวเกาหลี เมื่อสงครามยุติ ประเทศอื่นในโลกไม่รับรองการปกครองของญี่ปุ่นในเกาหลีและไต้หวัน
ขณะเดียวกัน ที่การประชุมไคโร (พฤศจิกายน 1943) สาธารณรัฐจีน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกาตัดสินใจว่า "เมื่อถึงกำหนด เกาหลีจักเป็นอิสระและมีเอกราช" ภายหลัง การประชุมยัลตา (กุมภาพันธ์ 1945) ให้ "เขตกันชน" ในทวีปยุโรปแก่สหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นรัฐบริวารที่รัฐบาลโซเวียตต้องรับผิดชอบ ตลอดจนการขึ้นเป็นใหญ่ที่คาดหวังไว้ของโซเวียตในจีนและแมนจูเรีย ตอบแทนที่สหภาพโซเวียตเข้าร่วมความพยายามของสงครามต่อญี่ปุ่นในสงครามแปซิฟิก

การรุกรานแมนจูเรียของสหภาพโซเวียต (1945)

           สหภาพโซเวียตประกาศสงครามกับญี่ปุ่นในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ตามที่ตกลงในการประชุมเตหะราน (พฤศจิกายน 1943) และการประชุมยัลตา (กุมภาพันธ์ 1945) ว่า สหภาพโซเวียตต้องประกาศสงครามต่อญี่ปุ่นภายในสามเดือนหลังสงครามในยุโรปสิ้นสุดลง จนถึงวันที่ 10 สิงหาคม กองทัพแดงยึดครองครึ่งเหนือของคาบสมุทรเกาหลีตามที่ตกลงกัน และวันที่ 26 สิงหาคม มาหยุดที่เส้นขนานที่ 38 เป็นเวลาสามสัปดาห์เพื่อรอให้กองกำลังสหรัฐมาถึงจากทางใต้
วันที่ 10 สิงหาคม เมื่อญี่ปุ่นใกล้ยอมจำนน อเมริกาสงสัยว่าโซเวียตจะเคารพคณะกรรมาธิการร่วมส่วนของตน หรือความตกลงยึดครองเกาหลีที่สหรัฐอเมริกาสนับสนุน หรือไม่ อีกหนึ่งเดือนให้หลัง พันเอก ดีน รัสก์ และพันเอก ชาลส์ เอช. โบนสตีลที่สาม แบ่งคาบสมุทรเกาหลีที่เส้นขนานที่ 38 หลังเร่งตัดสินใจว่า เขตยึดครองเกาหลีของสหรัฐจำต้องมีเมืองท่าอย่างน้อยสองแห่ง
เมื่ออธิบายเหตุที่การปักปันเขตยึดครองอยู่ที่เส้นขนานที่ 38 รัสก์ออกความเห็นว่า "แม้ในความเป็นจริง กองกำลังสหรัฐสามารถขึ้นไปเหนือกว่านั้นได้ กรณีที่โซเวียตไม่ตกลง ... เรารู้สึกว่าเป็นการสำคัญที่จะรวมเมืองหลวงของเกาหลีในพื้นที่รับผิดชอบของทหารอเมริกัน" โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ "เผชิญกับควาขาดแคลนกองกำลังสหรัฐที่มีอยู่ และปัจจัยกาลเทศะ ซึ่งทำให้เป็นการยากที่จะขึ้นเหนือไปไกลมาก ก่อนที่ทหารโซเวียตจะเข้าสู่พื้นที่" โซเวียตตกลงการปักปันเขตยึดครองของสหรัฐเพื่อปรับปรุงฐานะการเจรจาของตนว่าด้วยเขตยึดครองในยุโรปตะวันออก และเพราะทั้งสองจะสนองการยอมจำนนของญี่ปุ่นจากที่ที่ตั้งอยู่

สงครามกลางเมืองจีน (1945–49)

            หลังสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สองสิ้นสุดลง สงครามกลางเมืองจีนหวนกลับมาอีกครั้งระหว่างคอมมิวนิสต์จีนกับจีนคณะชาติ ขณะที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์แย่งชิงความเป็นใหญ่ในแมนจูเรีย ก็ได้รับการสนับสนุนด้านยุทธปัจจัยและกำลังพลจากรัฐบาลเกาหลีเหนือ ตามแหล่งข้อมูลของจีน เกาหลีเหนือได้บริจาคยุทธปัจจัย 2,000 ตู้รถไฟ และชาวเกาหลีหลายพันคนรับราชการในกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนระหว่างสงคราม เกาหลีเหนือยังให้ที่ซ่อนอันปลอดภัยแก่ผู้ที่มิใช่พลรบและการสื่อสารกับจีนส่วนที่เหลือ
             การมีส่วนของเกาหลีเหนือแก่ชัยชนะของคอมมิวนิสต์จีนไม่ถูกลืมหลังการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949 เพื่อเป็นสัญลักษณ์ตอบแทน ทหารผ่านศึกชาวเกาหลีระหว่าง 50,000 ถึง 70,000 คน ถูกส่งกลับพร้อมกับอาวุธ และภายหลัง ทหารเหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญในการบุกครองเกาหลีใต้ขั้นต้น จีนสัญญาจะสนับสนุนเกาหลีเหนือหากเกิดสงครามกับเกาหลีใต้ การสนับสนุนของจีนสร้างการแบ่งแยกร้าวลึกระหว่างคอมมิวนิสต์เกาหลี และอำนาจของคิม อิลซองภายในพรรคคอมมิวนิสต์ถูกกลุ่มแยกจีน ที่นำโดย พัก อิลยู ท้าทาย ภายหลังพักถูกคิมกวาดล้างไป
             รัฐบาลจีนตั้งชาติตะวันตก นำโดยสหรัฐอเมริกา เป็นภัยคุกคามใหญ่สุดต่อความมั่นคงของชาติ การตัดสินใจนี้อิงศตวรรษแห่งความอัปยศของจีนเริ่มตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 การสนับสนุนคณะชาติของอเมริการะหว่างสงครามกลางเมืองจีน และการต่อสู้ทางอุดมการณ์ระหว่างพวกปฏิวัติกับพวกปฏิกิริยา ผู้นำจีนเชื่อว่าจะจีนจะเป็นสมรภูมิสำคัญในการปราบปรามคอมมิวนิสต์ของสหรัฐ เพื่อเป็นมาตรการตอบโต้และยกฐานะของจีนในบรรดาขบวนการคอมมิวนิสต์ทั่วโลก ผู้นำจีนจึงนำนโยบายต่างประเทศที่สนับสนุนการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ทั่วดินแดนขอบขัณฑสีมาของจีนมาใช้

การแบ่งเกาหลี (1945–49)

บรรดาชาติสัมพันธมิตรตกลงกันในการประชุมพอตสดัม (กรกฎาคม-สิงหาคม 1945) ให้มีการแบ่งเกาหลีอออกเป็นสองส่วน โดยที่ไม่ถามความเห็นของชาวเกาหลี เป็นการขัดแย้งกับข้อตกลงจากการประชุมไคโร
พลโทจอห์น อาร์. ฮอดจ์ ผู้แทนฝ่ายสหรัฐอเมริกาเดินทางมาถึงเมืองอินช็อนในวันที่ 8 กันยายน 1945 เพื่อรับการประกาศยอมแพ้สงครามของญี่ปุ่นในอาณาบริเวณคาบสมุทรเกาหลีใต้ต่อเส้นขนานที่ 38 พลโทฮอดจ์มีอำนาจปกครองเกาหลีใต้ในฐานะผู้บัญชาการรัฐบาลทหารของกองทัพสหรัฐอเมริกาในเกาหลี (USAMGIK) พลโทฮอดจ์คืนอำนาจให้แก่ผู้ปกครองอาณานิคมชาวญี่ปุ่นและกองกำลังตำรวจเกาหลีเดิมที่เคยให้การสนับสนุนญี่ปุ่น รัฐบาลทหารสหรัฐที่ปกครองเกาหลีไม่ให้การรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นของสาธารณรัฐประชาชนเกาหลีซึ่งดำรงอยู่ในระยะเวลาอันสั้น เนื่องจากรัฐบาลทหารสหรัฐมีความสงสัยว่ารัฐบาลพลัดถิ่นของเกาหลีนั้นจะเป็นคอมมูนนิสต์ นโยบาลเหล่านี้ไม่ได้รับความเห็นชอบจากประชาชนชาวเกาหลี นำไปสู่การลุกฮือต่อต้านและสงครามกองโจร ในวันที่ 3 กันยายน 1945 พลโทโยะชิโอะ โคซุกิ ผู้บัญชาการกองกำลังภาคที่สิบเจ็ดของญี่ปุ่น รายงานต่อพลโทฮอดจ์ว่ากองกำลังของโซเวียตได้ลงมาทางใต้ต่ำกว่าเส้นขนานที่ 38 อยู่ที่เมืองแคซอง ซึ่งพลโทฮอดจ์ก็เชื่อข่าวกรองของญี่ปุ่น
คณะกรรมาธิการร่วมสหรัฐอเมริกา-สหภาพโซเวียต เข้าปกครองเกาหลีในเดือนธันวาคม 1945 ตามที่ได้ตกลงไว้ในการประชุมมอสโก (1945) โดยที่ชาวเกาหลีไม่ได้มีส่วนร่วมในการเจรจาตกลง คณะกรรมาธิการร่วมได้ข้อยุติว่าให้เกาหลีอยู่ในฐานะทรัสตีเป็นเวลาห้าปีแล้วจึงเป็นเอกราช ปกครองโดยรัฐบาลที่มีแนวความคิดทางการเมืองเหมือนกับประเทศแม่ที่ให้การสนับสนุน ประชาชนชาวเกาหลีจึงลุกขึ้นต่อต้านในเกาหลีใต้ บ้างประท้วงบ้างก็ทำการสู้รบ รัฐบาลทหารสหรัฐอเมริกาพยายามจะควบคุมการลุกฮือโดยการออกประกาศห้ามการชุมนุมในวันที่ 8 ธันวาคม 1945 และประกาศให้รัฐบาลปฏิวัติและคณะกรรมาธิการประชาชนของสาธารณรัฐประชาชนเกาหลีเป็นรัฐบาลที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 1945




http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น